วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

"ฮีตสิบสอง คองสิบสี่" บ้านหนองกุงไทย


"ฮีตสิบสอง" หมายถึง  จารีตประเพณีประจำสิบสองเดือน  ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่ชาวบ้านจะได้มาร่วมชุมนุมและทำบุญในทุก ๆ  เดือนของรอบปีและถือเป็นจรรยาของสังคม  ผู้ที่ฝ่าฝืนก็จะเป็นผู้ที่ผิดฮีตหรือผิดจารีตนั่นเอง  (หลายครั้งฮีตสิบสองมักจะกล่าวควบคู่  "คลองสิบสี่"  (คองสิบสี่)  ที่เป็นดังแบบแผนหรือแนวทางดำเนินชีวิต (คลอง = ครรลอง)  แต่จะมุ่งเน้นไปทางศีลธรรมมากกว่าด้านอาชีพ)
          สำหรับประเพณีหลัก ๆ  12  เดือนตามฮีตสิบสองของชาวอีสานโบราณนั้นประกอบด้วย
          เดือนเจียง (เดือน อ้าย)  มีการประกอบพิธีบุญเข้ากรรม  ซึ่งเป็นเดือนที่พระสงฆ์เข้ากรรม  (ปริวาสกรรม)  เพื่อให้พระสงฆ์ผู้กระทำผิด  ได้สารภาพต่อหน้าคณะสงฆ์ เป็นการฝึกจิตสำนึกถึงความบกพร่องของตน  และมุ่งประพฤติตนให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยต่อไป  ชาวบ้านก็จะมีการทำบุญเลี้ยงผีต่าง ๆ
          เดือนยี่  ใน ฤดูหลังการเก็บเกี่ยว  ชาวบ้านจะทำบุญคูณข้าวหรือบุญคูณลาน  โดยนิมนต์พระสวดมนต์เย็น  เพื่อเป็นมงคลแก่ข้าวเปลือก  รุ่งเช้าเมื่อพระฉันเช้าแล้วจะมีการทำพิธีสู่ขวัญข้าว  นอกจากนี้ชาวบ้านจะเตรียมเก็บสะสมฟืนไว้หุงต้มที่บ้าน
          เดือนสาม  ใน มื้อเพ็งหรือวันเพ็ญเดือนสาม  จะมีการทำบุญข้าวจี่และบุญมาฆบูชา  การทำบุญข้าวจี่จะเริ่มตอนเช้าโดยใช้ข้าวเหนียวปั้นใส่น้ำอ้อยนำไปจี่บนไฟ อ่อนแล้วชุบด้วยไข่เมื่อสุกแล้วนำไปถวายพระ

         เดือนสี่  ทำบุญ พระเวสฟังเทศน์มหาชาติ  ในงานบุญนี้มักจะมีผู้นำของมาถวายพระ  ซึ่งเรียกว่า  "กัณฑ์หลอน"  หรือถ้าจะถวายเจาะจงเฉพาะพระนักเทศน์ที่ตนนิมนต์มาก็จะเรียกว่า  "กัณฑ์จอบ"  เพราะต้องแอบซุ่มดูให้แน่เสียก่อนว่าใช่พระรูปที่จะถวายเฉพาะเจาะจงหรือไม่

          เดือนห้า  ประเพณีตรุษสงกรานต์หรือบุญสรงน้ำหรือบุญเดือนห้า  ซึ่งมีขึ้นในวันขึ้น  15  ค่ำ  เดือนห้าและถือเป็นเดือนสำคัญ  เพราะเป็นเดือนเริ่มต้นปีใหม่ไทย  การสรงน้ำจะมีทั้งการรดน้ำพระพุทธรูป  พระสงฆ์  และผู้หลักผู้ใหญ่  ด้วยน้ำอบน้ำหอมเพื่อขอขมาและขอพรตลอดจนมีการทำบุญถวายทาน
         เดือนหก ประเพณีบุญบั้งไฟและบุญวันวิสาขบูชา  การทำบุญบั้งไฟเป็นการขอฝนพร้อมกับงานบวชนาค  ซึ่งการทำบุญเดือนหกถือเป็นงานสำคัญก่อนการทำนา หมู่บ้านใกล้เคียงจะนำเอาบั้งไฟมาจุดประชันขันแข่งกัน  หมู่บ้านที่รับเป็นเจ้าภาพจะจัดอาหาร  เหล้ายามาเลี้ยง  เมื่อถึงเวลาก็จะตั้งขบวนแห่บั้งไฟและรำเซิ้งออกไป  ณ  ลานที่จุดบั้งไฟ  ด้วยความสนุกสนาน  คำเซิ้งและการแสดงประกอบจะออกไปในเรื่องเพศแต่จะไม่คิดเป็นเรื่องหยาบคาย แต่อย่างใด  ซึ่งประเพณีบุญบั้งไฟจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทุกปีที่จังหวัดยโสธร  ส่วนการทำบุญวิสาขบูชานั้นจะมีการทำบุญเลี้ยงพระ  ฟังเทศน์  ช่วงเย็นมีการเวียนเทียนเช่นเดียวกับภาคอื่น ๆ
          เดือนเจ็ด ทำบุญซำฮะ  (ล้าง)  หรือบุญบูชาบรรพบุรุษ  มีการเซ่นสรวงหลักเมือง  หลักบ้าน  ปู่ตา  ผีตาแฮก  ผีเมือง  เป็นการทำบุญเพื่อระลึกถึงผู้มีพระคุณ
          เดือนแปด  ทำบุญ เข้าพรรษาซึ่งเป็นประเพณีทางพุทธศาสนาโดยตรง  ลักษณะการจัดงานจึงคล้ายกับทางภาคอื่น ๆ  ของประเทศไทย  เช่น  มีการทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์สามเณร  มีการฟังธรรมเทศนา  ตอนบ่ายชาวบ้านหล่อเทียนใหญ่ถวายเป็นพุทธบูชาและเก็บไว้ตลอดพรรษา  การนำไปถวายวัดจะมีขบวนแห่ฟ้อนรำเพื่อให้เกิดความคึกคักสนุกสนาน  ประเพณีแห่เทียนพรรษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต้องเป็นที่จังหวัดอุบลราชธานี
          เดือนเก้า ประเพณีทำบุญข้าวประดับดิน  เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศแก่ญาติผู้ล่วงลับ  เพื่อบูชาผีบรรพบุรุษและผีไร้ญาติ  โดยชาวบ้านจะทำการจัดอาหาร  ประกอบด้วยข้าว  ของหวาน  หมากพลู  บุหรี่ห่อด้วยใบตองกล้วยร้อยเป็นพวง  เตรียมไว้ถวายพระช่วงเลี้ยงเพล  บางพื้นที่อาจจะนำห่อข้าวน้อย  เหล้า  บุหรี่  แล้วนำไปวางหรือแขวนไว้ตามต้นไม้และกล่าวเชิญวิญญาณของบรรพบุรุษและญาติ มิตรที่ล่วงลับไปมารับส่วนกุศลในครั้งนี้  ต่อมาใช้วิธีการกรวดน้ำหลังการถวายภัตตาหารพระสงฆ์แทน  การทำบุญข้าวประดับดินนิยมทำกันในวันแรม  14  ค่ำ  เดือนเก้า  หรือที่เรียกว่า  บุญเดือนเก้า

          เดือนสิบ ประเพณีทำบุญข้าวสากหรือข้าวสลาก  (สลากภัตร)  ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบผู้ถวายจะเขียนชื่อของตนลงในภาชนะที่ใส่ของทานและ เขียนชื่อลงในบาตร ภิกษุสามเณรรูปใดจับได้สลากของใครผู้นั้นจะเข้าไปถวายของเมื่อพระฉันเสร็จ แล้วจะมีการฟังเทศน์เพื่อเป็นการอุทิศให้แก่ผู้ตาย
          เดือนสิบเอ็ด ประเพณีทำบุญออกพรรษา  ในวันขึ้น  15  ค่ำ  เดือนสิบเอ็ด  พระสงฆ์จะแสดงอาบัติ  ทำการปวารณา  คือ  การเปิดโอกาสให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ต่อมาเจ้าอาวาสหรือพระผู้ใหญ่จะให้โอวาทเตือนพระสงฆ์ให้ปฏิบัติตนอย่างผู้ ทรงศีล  พอตกกลางคืนจะมีการจุดประทีป  โคมไฟนำไปแขวนไว้ตามต้นไม้ในวัดหรือตามริมรั้ววัด จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  บุญจุดประทีป  ในจังหวัดนครพนมจะมีประเพณีการไหลเรือไฟซึ่งตกแต่งด้วยตะเกียงน้ำมันก๊าด เป็นรูปต่าง ๆ  สวยงามกลางลำน้ำโขงและมีหลายจังหวัดที่จัดงานแห่ปราสาทผึ้งขึ้น  แต่ที่นับว่าเป็นต้นตำรับและมีความยิ่งใหญ่กว่าที่ใดก็คือจังหวัดสกลนคร
          เดือนสิบสอง เป็นเดือนส่งท้ายปีเก่าซึ่งจะมีการทำบุญกองกฐินโดยเริ่มตั้งแต่วันแรมหนึ่ง ค่ำ  เดือนสิบเอ็ดถึงกลางเดือนสิบสอง  แต่ชาวอีสานในสมัยก่อนนิยมเริ่มทำบุญทอดกฐินกันตั้งแต่ข้างขึ้นเดือนสิบสอง  จึงมักจะเรียกบุญกฐินว่า  บุญเดือนสิบสอง  สำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำใหญ่  เช่น  แม่น้ำโขง  แม่น้ำชี  และแม่น้ำมูล  จะมีการจัดส่วงเฮือ  (แข่งเรือ)  เพื่อระลึกถึงอุสุพญานาค  บางแห่งจะมีการทำบุญดอกฝ้ายเพื่อใช้ทอเป็นผ้าห่มกันหนาวถวายพระเณร  มีการจุดพลุตะไล  และบางแห่งจะมีการทำบุญโกนจุกลูกสาวซึ่งนิยมทำกันมากในสมัยก่อน
          ประเพณีทั้งสิบสองเดือนชาวอีสานโบราณถือว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้อง ร่วมมือกันอย่างจริงจัง  ตั้งแต่เดือนอ้ายจนถึงเดือนสิบสองใครที่ไม่ไปช่วยงานบุญก็จะถูกสังคมตั้ง ข้อรังเกียจและไม่คบค้าสมาคมด้วยการร่วมประชุมทำบุญเป็นประจำทำให้ชาวอีสาน มีความสนิทสนมรักใคร่และสามัคคีกัน  ทั้งภายในหมู่บ้านของตนและในหมู่บ้านใกล้เคียง
          สำหรับวันนี้ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ประเพณี  12  เดือน หลายอย่างของชาวอีสานเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย  ในขณะที่บางประเพณีก็เริ่มสูญหายซึ่งหากประเพณีเหล่านี้ไม่มีการสืบต่อหรือ ไม่มีการอนุรักษ์ไว้บางทีในอนาคตเด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักประเพณีอันดีงาม อย่าง  "ฮีตสิบสอง"  ก็เป็นได้
ที่มา : http://www.myfirstbrain.com/main_view.aspx?ID=67233







วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บ้านหนองกุงไทย ต.โนนสะอาด อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์

ประวัติบ้านหนองกุงไทย


                บ้านหนองกุงไทย  ถิ่นฐานบ้านเดิมอาศัยอยู่ที่บ้านท่าขอนยาง  อำเภอเมือง  จังหวัดมหาสารคาม(ที่ตั้งมหาวิทยาลัยมหาสารคามในปัจจุบัน)  คนในหมู่บ้านเป็นชาวญ้อ  ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์  ได้อพยบมาตั้งถิ่นฐานอยู่บ้านเก่าคำหมากยาง  ด้วยภูมิประเทศที่ไม่เหมาะสมจึงได้อพยบไปตั้งถิ่นฐานใหม่ชื่อบ้านหนองกุงไทย  ซึ่งมีดินแดนอันกว้างใหญ่  อุดมสมบูรณืไปด้วยป่าไม้และสัตว์นานาพันธุ์  จึงพากันสร้างหลักฐานบ้านเรือนขึ้นโดยเลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพ  นำโดยนายหมื่นอาจ  ทระคำหาร 
              ต่อมาในปี พ.ศ.
2457 จึงได้แต่งตั้งนายหมื่นอาจ  ทระคำหาร  เป็นผู้ใหญ่บ้าน  ทำหน้าที่ดูแล ปกครองพี่น้องมาจนถึงปี 2468  จึงได้เกษียณอายุราชการไป 
              ต่อมาในปี พ.ศ.
2468 จึงได้แต่งตั้งให้นายไพ  ภูสีนาค เป็นผู้ใหญ่บ้านแทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งดำรงตำแหน่งจนเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ.2484 
              ในปี พ.ศ.
2530  หมู่บ้านมีขนาดใหญ่ขึ้นจึงได้แบ่งออกเป็น 2 หมู่บ้านคือ  บ้านหนองกุงไทยหมู่ที่ 4 ซึ่งมีนายจันทร์  ภูยืด  เป็นผู้ใหญ่บ้าน  และบ้านหนองกุงไทยหมู่ที่ซึ่งมีนายสมบูรณ์  ภูลายรียบ  เป็นผู้ใหญ่บ้าน 

สภาพภูมิศาสตร์  สิ่งแวดล้อมและสังคม
1.สภาพภูมิศาสตร์
  ที่ตั้งและอาณาเขตติดต่อ
    บ้านหนองกุงไทยตั้งอยู่ชายป่าดงระแนงไกลจากอำเภอห้วยเม็กประมาณ 13  กิโลเมตร   และไกลจากจังหวัดกาฬสินธุ์ประมาณ  50  กิโลเมตร
     อาณาเขตติดต่อ
     🔷️ทิศเหนือ                
         ติดกับบ้านโนนสะอาด  เขตการปกครององค์การบริหารส่วนตำบลโนนสะอาด  อำเภอห้วยเม็ก  จังหวัดกาฬสินธุ์
    🔷️ทิศใต้                      
          ติดต่อกับป่าสงวนแห่งชาติดงระแนง
    🔷️ทิศตะวันออก       
          ติดต่อกับบ้านหนองเสือ  เขตการปกครององค์การบริหารส่วนตำบลเว่อ  อำเภอยางตลาด  จังหวัดกาฬสินธุ์
    🔷️ทิศตะวันตก          
           ติดต่อกับบ้านหนองแวงดง  เขตการปกครององค์การบริหารส่วนตำบลกุดโดน  อำเภอห้วยเม็ก  จังหวัดกาฬสินธุ์
    ลักษณะหมู่บ้าน      คล้ายรูปครึ่งวงกลม
2.ลักษณะภูมิอากาศ
เนื่องจากบ้านหนองกุงไทยตั้งอยู่ชายแดนทางทิศตะวันออกสุดของอำเภอห้วยเม็ก  ซึ่งติดต่อกับอำเภอยางตลาด  ฤดูร้อนอุณหภูมิค่อนข้างสูง  ร้อนอบอ้าว  มีฟ้าสลัว(หมอกแดด)  เกิดขึ้นทั่วไป  ส่วนฤดูหนาวก็ได้รับลมหนาวจากลมตะวันออกเฉียงเหนือเช่นเดียวกับอำเภออื่นๆ ในจังหวัดกาฬสินธุ์
3.ทรัพยากร
🔶️ดิน  ในบ้านหนองกุงไทยดินส่วนใหญ่เป็นดินร่วนปนทราย  เนื่องจากภูมิประเทศเป็นที่ราบชายป่า  ฤดูฝนน้ำป่าไหลผ่านหมู่บ้านลงไปบ่อน้ำและทุ่งนา  ทำให้ปลูกพืชไร่และทำนาที่มีอัตราการชะล้างของหน้าดินค่อนข้างสูง
🔶️ป่าไม้  ป่าไม้ส่วนใหญ่เป็นป่าสงวนแห่งชาติ  แต่ป่าได้ถูกทำลายให้เสื่อมสภาพลงโดยการบุกรุกป่าเพื่อทำเป็นที่ทำกิน
🔶️แหล่งน้ำ   บ้านหนองกุงไทยประกอบด้วยแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อการอุปโภคบริโภคและทำการเกษตรกรรมของชาวบ้านหนองกุงไทย  แหล่งน้ำสำคัญได้แก่  ลำห้วยพังชู  หนองบึง  หนองแค้ม  และหนองบ้าน
🔶️สภาพเศรษฐกิจ    บ้านหนองกุงไทยเศรษฐกิจโดยรวมพึ่งพาการเกษตรกรรมเป็นหลัก  เช่น  ปลูกข้าว  อ้อย  มันสำปะหลัง  แต่ก็มีบ้างอุตสาหกรรมในครัวเรือนเย็บผ้าส่งออก  และยังมีการรับยกบ้านเป็นอาชีพเสริม  ทำให้สภาพทางเศรษฐกิจของบ้านหนองกุงไทยเริ่มเปลี่ยนจากการพึ่งพาการเกษตรเป็นหลักไปเป็นการพึ่งพาอุตสาหกรรมมากขึ้น
🔶️การเกษตรกรรม    เป็นอาชีพหลักของชาวบ้านหนองกุงไทย  คิดเป็นร้อยละ   100  ของพื้นที่ทั้งหมดในการเพาะปลูก
🔶️การเพาะปลูก    พืชเศรษฐกิจที่สำคัญของบ้านหนองกุงไทยได้แก่  ข้าว  อ้อย  มันสำประหลัง  และในปัจจุบันได้มีการเริ่มปลูกยางพาราเพิ่มมากขึ้น
🔶️การอุตสาหกรรม     บ้านหนองกุงไทยมีกลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป
🔶️ด้านปศุสัตว์    สัตว์เลี้ยงที่สำคัญของบ้านหนองกุงไทยได้แก่  โค  กระบือ  สุกร  เป็ดและไก่พื้นเมือง
🔶️สภาพแวดล้อม     บ้านหนองกุงไทยตั้งอยู่ชายป่าดงระแนงเวลาฝนตกน้ำก็ชะล้างสิ่งสกปรกสิ่งปฏิกูล  ขยะ  จากป่าที่ประชาชนนำไปทิ้งหรือเผาให้ไหลเข้ามาสู่หมู่บ้านซึ่งประกอบกับมีมูลโค  กระบือ  สุกรมากมายจึงทำให้ถนนในหมู่บ้านสกปรกในฤดูฝน
🔶️การคมนาคม  บ้านหนองกุงไทยมีถนนสายบ้านกุดโดน-บ้านนาแก  ระยะทาง  24 กิโลเมตร  รับผิดชอบโดยกรมทางหลวงชนบททำให้สามารถเดินทางภายในพื้นที่ได้สะดวกขึ้น  นอกจากนี้ยังมีถนนลูกรังเชื่อมหมู่บ้านโนนสะอาด
🔻ประชากร              
ในปี พ.ศ.2546 บ้านหนองกุงไทยมีประชากร  1,029  คน  เป็นชาย  494  คน 
หญิง 
535  คน    
ข้อมูล เดือน กรกฎาคม 2568
ประชากรบ้านหนองกุงไทยหมู่ที่ 4
  ประชากรชาย 411 คน
  ประชากรหญิง 428 คน
  รวม 839 คน
ประชากรบ้านหนองกุงไทยหมู่ที่ 6
  ประชากรชาย 521 คน
  ประชากรหญิง 494 คน
  รวม 1,015 คน
ประชากรทั้งหมดของบ้านหนองกุงไทย 1,854 คน. 
ประชาชนส่วนมากพูดภาษาไทยญ้อ
🟢การปกครอง         
    บ้านหนองกุงไทยอยู่ในเขตการปกครอง  อำเภอห้วยเม็ก  ซึ่งเป็นการบริหารราชการส่วนภูมิภาค  ขึ้นตรงต่อองค์การบริหารส่วนตำบลโนนสะอาด (อบต.)  มีเขตการปกครอง  7  หมู่บ้าน  แต่บ้านหนองกุงไทยมีการปกครอง  2  หมู่บ้าน  คือ  บ้านหนองกุงไทยหมู่ที่  4  และหมู่ที่  6
▶️การศึกษา    บ้านหนองกุงไทยได้รับการศึกษาน้อยในอดีต  แต่ปัจจุบันทางรัฐบาลเปิดโอกาสทางการศึกษาจึงทำให้ประชาชนมีการศึกษาดีขึ้น  จากการรายงานโครงการปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนของโรงเรียนหนองกุงไทยวิทยาคม  โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ  2544  บ้านหนองกุงไทยประชากรวัยเรียนได้เรียนจบการศึกษาภาคบังคับ  ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ร้อยละ 100 และมีสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์เขต 2 จำนวน  1  แห่ง  จัดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับประถมวัยถึงชั้นปรถมศึกษาปีที่  6  ศูนย์เด็กก่อนเกณฑ์  1  แห่ง การศึกษานอกโรงเรียน  1  แห่ง